วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560

ด้วยแรงบันดาลใจจากในหลวง ร.9 "อธิศพัฒน์"ผู้สยบความแห้งแล้ง เปลี่ยนหินกลายเป็นดิน



ใครจะเชื่อว่า ผืนดินกลางหุบเขา หมู่บ้านยาง  ต.ท่าลี่  อ.ท่าลี่  จ.เลย ที่มีแต่ความแห้งแล้ง  เต็มไปด้วยหินมากกว่าดิน  จะกลายเป็นแปลงปลูกผักออแกนิค  ส่งขายสร้างรายได้ปีละกว่า 1,800,000 บาท
 
นายอธิศพัฒน์  วรรณสุทธิ์   เกษตรกรวัย 58 ปี  ผู้บุกเบิกพลิกฟื้นดินผืนนี้  เล่าว่า  ก่อนที่จะมายึดอาชีพเกษตรกรเต็มตัวในปัจจุบัน เดิมนั้นรับราชการเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช   ได้เห็นผู้ป่วยจำนวนมากที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีสารพิษ   หลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปช่วยราชการด้านสาธารณสุขในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครนายก ได้มีโอกาสเข้าไปพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เกษตรในโรงเรียนนายร้อยจปร. จึงเกิดแรงบัลดาลใจ อยากเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัว


เมื่อทำงานชดใช้ทุนมหิดลนักเรียนพยาบาลจบลง  ก็ลาออกจากงานก็กลับมาอยู่กับครอบครัวที่อำเภอท่าลี่  จ.เลย  ตั้งใจอยากปลูกผักปลอดสารพิษ  โดยพ่อตามีที่ดิน 60 ไร่ อยู่กลางหุบเขา ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กิโลเมตร  เดิมเป็นไร่มันสำปะหลัง ไม่มีแหล่งน้ำ ดินก็มีแต่หิน  ไม่มีไฟฟ้า  พ่อตาบอกว่า ยังไงก็ทำไม่ได้  แต่กลับเป็นความท้าทาย  ต้องทำให้ดินผืนนี้ปลูกผักให้ได้  โดยยึดหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องเกษตรพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9  พึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด  และคิดว่าอยากมีอาหารปลอดภัยไว้รับประทาน ทั้งตนเองและผู้อื่น

หลังจากนั้นก็ เมื่อปี 2554  เริ่มลงมือขุดน้ำบาดาล ทำฝายชะลอน้ำ  ปรับปรุงดิน  โดยไม่ใช้สารเคมี  ในช่วงนั้นก็มีบางครั้งที่ท้อแท้ เหนื่อยล้า  แต่เมื่อได้คิดถึงความลำบากของในหลวงรัชกาลที่ 9  ที่พระองค์ทำเพื่อพสกนิกร  หนักหน่วงกว่าเราหลายเท่า  ก็ทำให้รู้ว่ามีกำลังใจ  เดินหน้าต่อ  ระยะผ่านเพียง 1 ปี ก็เริ่มปลูกผักขายได้ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จึงขยายพื้นที่ปลูกผักอีกหลายชนิด  เช่น  ผักคะน้า  กะหล่ำปลี  ผักกาด ฯลฯ นอกจากนี้ยังปลูกไม้ผลยืนต้นอีกหลายชนิด  โดยในพื้นที่ 60 ไร่ จะรักษาป่าไว้รอบๆ บริเวณแปลงผัก เพื่อเป็นแนวกันชน ไม่ใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชจากพื้นที่ข้างเคียงเข้ามาปนเปื้อน ซึ่งป่าแนวกันชนมีต้นผักหวาน เห็ด และพืชอาหารธรรมชาติให้เก็บกินได้อีกด้วย  ทำให้พืชที่ปลูกจำนวนกว่า 50 ชนิด ได้รับใบรับรองว่าเกษตรอินทรีย์ระดับออร์แกนิกจากกรมวิชาการเกษตร

ส่วนในด้านการตลาดนั้น ได้ส่งขายไปตามหน่วยงานราชการ  และเอกชนทั้งในและต่างจังหวัด แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ผักที่ปลูกในไร่ จะมีราคาสูงกว่าผักทั่วไป  เช่น กะหล่ำปลีหัวละ 60-80 บาท  ปลูกเพียงแปลงเดียวก็ได้เงิน 6,000 บาท  ได้เงินมากการปลูกมันสำปะหลัง หรือข้าวโพด  ซึ่งใช้พื้นที่มากกว่า ต้นทุนสูงกว่า   ซึ่งในไร่ จะมีหลักการที่ว่าต้องใช้เงินซื้อให้น้อยที่สุด  เช่น ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าสูบน้ำขึ้นมาใช้รดพืชผัก อุปโภค บริโภค


ส่วนการกำจัดศัตรูพืชก็ใช้วิธีให้ธรรมชาติจัดการกันเอง  จะสังเกตได้ว่า ตามแปลงผักจะมีต้นหญ้าขึ้นแซมด้วย  หญ้าเหล่านี้จะเป็นตัวดึงดูแมลงที่จะมากัดกินผักให้ไปตอมหรือดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้  และก็จะมีแมลงชนิดอื่นมากินแมลงพวกนี้อีกที   ส่วนการบำรุงดินและพืชผัก ก็ใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย  ปุ๋ยคอก ผสมจานด่วนที่ประกอบด้วย นมสดหมดอายุกับไข่ ไก่ ทำให้พืชผักงอกงาม สมบูรณ์  ขายได้ราคาดี

เมื่อได้ลงมือทำอย่างจริงจัง  จึงทำให้ไร่อธิศพัฒน์กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ให้แก่เกษตรกร จากทั่วประเทศ  โดยไม่มีการหวงความรู้ เพราะอยากให้การทำเกษตรอินทรีย์แพร่ขยายออกไปให้มากที่สุด  เพื่อให้มีรายได้ดีขึ้นและสุขภาพที่ดีด้วย ขณะเดียวกันก็ได้ ฝึกฝนตนเอง  เพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆด้วย อีกทั้งยังมีรายได้จากคณะที่มาศึกษาดูงาน จากการขายพืชผัก ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นอกจากการส่งขายพืชผักตามปกติ  ทำให้มีรายได้หักจากต้นทุนทุกอย่างแล้วเหลือเงินเก็บประมาณปีละ 1,800,000 บาท  โดยไม่มีหนี้สิน

อาจารย์อธิศพัฒน์จึงถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า  นำหลักคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9  มาลงมือปฏิบัติจนเห็นผลได้จริง ซึ่งปราชญ์เกษตรอินทรย์ท่านนี้ มักจะบอกกับทุกคนที่มาเรียนรู้ว่า “อย่าชอบคำสอนของพ่ออย่างเดียว ต้องลงมือทำด้วย”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น