วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หนุ่มภูหลวงขับมอไซค์ถูกรถตู้บิ๊กนิคมอุตสาหกรรมระยองฝ่าไฟแดงชนดับสลด เร่งตร.เอาผิด (ชมคลิป)



จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ รถตู้โตโยต้าสีดำ ฝ่าไฟแดงชนนายณัฐพล  วรรณศรี  อายุ 46 ปี  ชาวอำเภอภูหลวง จ.เลย  เสียชีวิต ที่บริเวณสี่แยกไฟแดงออคิดถนนสุขุมวิท  ตำบลเนินพระ  อำเภอเมือง  จ.ระยอง  แล้วพยายามขับหลบหนี  จนมีพลเมืองดี ขับรถตามไปขวาง สกัดไว้ได้ โดยมีภาพจากกล้องหน้ารถของประชาชนที่ติดไฟแดงอยู่บริเวณนั้นบันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างชัดเจน
 

โดยจากการตรวจสอบพบว่า รถตู้คันดังกล่าวมีผู้โดยสาร 4-5 คน  เป็นผู้บริหารระดับสูงของนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง  ขณะที่คนขับมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย 160 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น และยังปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต  โดยญาติได้นำศพกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดในอำเภอภูหลวง จ.เลย นั้น

ความคืบหน้าล่าสุด  เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที 4 หมู่ 8 บ้านหนองขอนแก่น  ต.แก่งศรีภูมิ  อ.ภูหลวง  จ.เลย  ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศพของนายณัฐพล โดยศพได้เดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อช่วงเวลา 23.00 น. วันที่ 23 สิงหาคม 2563  บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า มีญาติและเพื่อนบ้านมาช่วยกันจัดเตรียมงานศพจำนวนมาก



น.ส.เมภารินทร์  พลโยธา    ภรรยาของผู้ตายเล่าว่า  สามีและตนไปทำงานที่จังหวัดระยองตั้งแต่ปี 2539  สามีเป็นพนักงานขายของซัมซุงในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง  ส่วนตน ในระยะหลังได้กลับมาอยู่ที่บ้านในอำเภอภูหลวงกับลูกสาว 3 คน  หลังเกิดเหตุ ตนกำลังจะออกไปทำสวนในช่วงเช้ากับลูก มีโทรศัพท์จากเบอร์ของสามีโทรเข้ามาหลายสาย แต่ไม่ได้รับ เพราะลูกสาวกำลังเล่นโทรศัพท์ แต่รู้สึกเอะใจว่าทำไมสามีโทรหาหลายครั้ง เพราะปกติในตอนเช้า สามีไปทำงานจะไม่ค่อยโทรหา  เมื่อรับโทรศัพท์จากพลเมืองดีที่มาช่วยในเหตุการณ์ บอกว่าให้ทำใจดีๆ ไว้  แล้วก็บอกว่าสามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ รถตู้ชนที่ระยอง ทำให้ตนรู้สึกช็อกและเสียใจมาก กอดคอกันร้องไห้กับลูกสาว



หลังจากนั้น ก็พากันเดินทางไปรับศพที่จังหวัดระยอง ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากทางเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่สามีทำงานเป็นอย่างดี แต่ฝ่ายคู่กรณีไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งๆที่เป็นฝ่ายผิด  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงที่ตนเดินทาง พาศพสามีกลับบ้าน มีชายที่อ้างว่าเป็นคนขับรถตู้ โทรมาแสดงความรับผิดชอบ ต้องการขอขมาศพ

ตอนนี้รู้สึกเคว้งคว้าง ไม่มีสามีที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ทำงานหาเงินส่งลูกสาวทั้งสามคนเรียน คนโตจบปริญญาตรีแล้ว คนกลางกำลังอยู่ชั้น ม.6 ส่วนคนเล็กอายุ 7 ขวบ  สามีตั้งใจว่าในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ จะรับปริญญาลูกสาว เพราะภูมิใจมาก ที่ส่งลูกเรียนจบด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง อยากให้ลูกทุกคนได้เรียนสูงๆ ไม่อยากให้ลำบากเหมือนพ่อแม่



ส่วนที่บ้านของพี่สาว ส่วนพ่อกับแม่สามีนั้นเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  สามีทำงานเก็บเงินได้ ก็ซื้อดินมาถมไว้เตรียมสร้างบ้านหลังเล็กๆ ตั้งใจจะกลับมาอยู่บ้านกับครอบครัวอย่างถาวร ก่อนหน้านี้สามีบ่นอยากกลับบ้าน แต่เมื่อเกิดช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้ไม่สามารถกลับได้ จนกระทั่งมาเกิดเหตุสลดขึ้น น.ส.เมภารินทร์

นายวัชรพงษ์ มะดาศรี  หลานชายของผู้ตาย เปิดเผยว่า  จากการที่ดูภาพในกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ และพยานแวดล้อม ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสำนวนของตำรวจ  ไม่รัดกุมเท่าที่ควร เกรงว่ากำลังจะมีการช่วยเหลือคนในรถตู้ที่เป็นฝ่ายผิดอย่างเห็นได้ชัด  ขับฝ่าไฟแดงมาด้วยความเร็ว  ชนเสร็จแล้วก็ไม่มีมนุษธรรมลงมาจอดดูอาการของนายณัฐพล จนกระทั่งมีรถของพลเมืองดีขับตามไปขัดขวางสกัดไว้ คนในรถจึงลงมา จากพยานคนที่อยู่ในเหตุการณ์บอกว่า มีผู้โดยสารในรถตู้ 4-5 คน  แต่กลับปรากฏในสำนวนการสอบสวนของตำรวจเพียง 2 คน  และไม่มีข้อหาเมาแล้วขับ  จึงอยากให้ตำรวจดำเนินการคดีนี้ด้วยความตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับผู้ตายและญาติด้วย  นายวัชรพงษ์กล่าว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น